Sunday, 2 April 2023

ทำอย่างไรดี เมื่อ “กัญชาเสรี” บุกโรงเรียน

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 นับว่าเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของประเทศไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกความผิดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือขาย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความไม่สบายใจให้กับหลายฝ่าย เนื่องจากว่าไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อต่อกรกับผลที่จะตามมา

หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายผู้ใช้อย่างล้นหลาม ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เหมือนกันกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”

ความพยายามสำหรับการขัดขวางกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม เป็นเรื่องยาก และเป็นความหนักใจที่ “ครู” ต้องหาทางรับมือกับกัญชา ที่ไหลหลากเข้ามาในโรงเรียน

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ครูหลายๆคนจับกลุ่ม “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่บางครั้งก็อาจจะกลายเป็นปัญหาขยายใหญ่โต หากว่าไม่มีมาตรการรับมือที่ชัดเจน

 

กัญชาเสรีในโรงเรียน
เหตุการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน

คุณครูหลายๆคนเริ่มต้นสะท้อนว่า ก่อนจะมีการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็เจอกับปัญญา นักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมไปถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งโดยมากจะมีสาเหตุมาจากนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยเด็กนักเรียนที่ใช้กัญชาจะมีอาการอยากนอน หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ ขณะที่อาจารย์มักจะใช้ กรรมวิธีติเตียน ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนไม่ต้องการมาเรียน เนื่องจากรู้สึกอับอาย และหวาดกลัว

จากการสังเกตของอาจารย์คนจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมลักขโมยของ และใช้กัญชาในเด็กนักเรียนมีมากเพิ่มขึ้น รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1

ถึงแม้ครูต้องรับมือกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางขจัดปัญหาการใช้กัญชา ของผู้เรียน แต่ครูที่ร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นอาจารย์เหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เนื่องด้วยการเข้าถึงรากของปัญหา จำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่ถึงแม้ว่าจะถูกกล่าวว่า เป็นสถานที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อนักเรียนก้าวเท้าออกจากโรงเรียน ก็สามารถประสบพบเห็นการซื้อขายกัญชาได้อย่างสะดวกสบาย ก็เลยทำให้ปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชา ในโรงเรียนกลายเป็นปัญหาที่ไม่อาจควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่อาจารย์เผชิญ

ปัญหาข้อหนึ่งที่คุณครูสะท้อน คือการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเกินไป โดยเฉพาะ TikTok ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว ทว่าข้อมูลที่ปรากฏกลายเป็นข้อมูลด้านเดียวที่ระบุว่า การใช้กัญชาจะทำให้อารมณ์ดี ขณะเดียวกันอาจารย์ผู้สอนเองก็ขาดความเข้าใจเรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้ครูไม่มีความพร้อมสำหรับในการสอน หรือรับมือกับเด็กที่ใช้สารเสพติด

ในทางกลับกัน คุณครูบางส่วนที่ตระหนักถึงความสำคัญของการสอนเรื่องจุดเด่น-จุดบกพร่องของกัญชา และพยายามเชื้อเชิญเด็กนักเรียนเสวนาแลกแปลง เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับไม่ได้รับการผลักดันและส่งเสริมหรือไม่มีอาจารย์ท่านอื่นร่วมด้วย เนื่องด้วยฝ่ายกิจการนักเรียนคิดว่าการสอนเรื่องกัญชาเกิดเรื่องตลกขบขัน และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้ความเข้าใจ

ด้วยเหมือนกัน แม้นักเรียนจะสนใจประเด็นนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงวิชาความรู้เรื่องกัญชาได้ เนื่องจากขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม

คุณครูผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยชี้ว่า อุปสรรคที่มีความสำคัญที่สุดของสถานการณ์กัญชาในโรงเรียน เป็นทิศทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ นำมาซึ่งการทำให้ครูดำเนินการลำบาก คุณครูเหมือนตกอยู่ในเหตุการณ์ออกรบแต่ไร้อาวุธ ตั้งแต่ไร้สื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่บ่งชี้ทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนกระทั่งวิธีการจัดการกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง และไม่ตัดทอนความเป็นคนของเด็กนักเรียน

นอกนั้น ภาระหน้าที่งานอื่นๆไม่น้อยเลยทีเดียวที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ครูผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะเฉยเมยต่อเด็กที่มีปัญหา ถึงแม้คุณครูรุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยนแปลง แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนคุณครู หรือผู้ปกครอง ก็นำมาซึ่งการทำให้ครูผู้คนจำนวนมากยอมไปในที่สุด

 

กัญชาเสรี
ทางออกสำหรับทุกคน

คุณครูที่ร่วมกลุ่มคุยสะท้อนว่า ทางออกของใจความสำคัญกัญชาเสรีในโรงเรียนเป็น สร้างการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง ให้เด็กนักเรียนได้เสนอคำถามกับการใช้กัญชา สร้างโอกาสให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ และเข้าถึงข้อมูลที่ถูก รวมถึงสร้างโอกาสให้ มีการติดต่อระหว่างนักเรียน คุณครู และผู้บริหาร เหมือนกันกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอ่ยถึงจุดเด่น – ข้อบกพร่องของการใช้กัญชาอย่างตรงไปตรงมา และสามารถเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ได้ง่าย

ทั้งนี้ การสร้างวัฒนธรรมหน่วยงานที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีคุณภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยคุณครูที่ร่วมกลุ่มสนทนามีความเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ เด็กนักเรียนที่ใช้สารเสพติด เหมือนกับการติดต่อสื่อสารกับผู้เรียนกลุ่มนี้ก็เป็นไปได้ยาก เนื่องด้วยอาจารย์กับเด็กนักเรียนใช้คนละภาษา

ยิ่งไปกว่านั้น ค่านิยมของโรงเรียนก็ตัดสินว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี คุณครูก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่รับ ซึ่งทั้งหมดล้วนนำมาซึ่งการทำให้การเห็นค่าในตนเอง และกลับตัวกลับใจให้ดีขึ้น ของนักเรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม

โดยเหตุนี้ การทำงานกับความเชื่อของครูและเพื่อนร่วมชั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อทำให้นักเรียนมีคนที่สามารถไว้วางใจและพูดคุยได้ ซึ่งจะทำให้นักเรียนรู้สึกปลอดภัย เกิดความเชื่อใจและไว้ใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกมั่นอกมั่นใจ และสะท้อนการเห็นคุณค่าในตนเอง ที่เยอะขึ้น

สุดท้ายคือความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่ต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลืออาจารย์ในโรงเรียนที่กำลังจัดการกับปัญหาเรื่องการใช้กัญชาของนักเรียน รวมถึงแนวนโยบายที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อปกป้องรักษาเด็กนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงข้อผิดพลาดของมัน เหมือนกันกับป้องกันไม่ให้เกิดเป็นปัญหาที่จะถั่งโถมเข้าใส่อาจารย์ผู้สอน จนกระทั่งคุณครูรู้สึกหมดพลังกับการขจัดปัญหารายวัน และลดทอนศรัทธาของครูที่ตั้งมั่นมาให้ความรู้กับผู้เรียน